จังหวัดยามานาชิ

วัฒนธรรมอาหารจังหวัดไค (จังหวัดยามานาชิ) ที่ก่อร่างขึ้นจากเส้นทางโคชูไคโดและการขนส่งทางเรือในแม่น้ำฟูจิ

จังหวัดยามานาชิ (Yamanashi) ตั้งอยู่เกือบใจกลางเกาะฮอนชู (Honshu) และโอบล้อมไปด้วยภูเขา ทางฝั่งตะวันตกมีเทือกเขาเจแปนแอลป์ตอนใต้ (Southern Japanese Alps) ทอดตัวยาวตั้งแต่เหนือจรดใต้ ตอนเหนือมีเทือกเขาคันโต (Kanto Mountains) ตั้งตระหง่านไปจนถึงฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ตั้งของภูเขาไฟฟูจิที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 2013 ส่วนทางตะวันตกเฉียงเหนือก็ยังมีเทือกเขายัตซึกาทาเกะ (Yatsugatake Mountains) ที่มีตีนเขากว้างตั้งมั่นราวกับกำลังเผชิญหน้ากับภูเขาไฟฟูจิ นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีเส้นทางแม่น้ำคลาส A (ตามระบบการจำแนกแม่น้ำของญี่ปุ่น) ถึง 3 สาย ได้แก่ เส้นทางแม่น้ำฟูจิ (Fuji River) เส้นทางแม่น้ำซากามิ (Sagami River) และเส้นทางแม่น้ำทามะ (Tama River) ที่ไหลลงสู่อ่าวสุรุกะ (Suruga Bay) และอ่าวซากามิ (Sagami Bay)

ผู้อนุเคราะห์เนื้อหาส่วนหนึ่งในวิดีโอ: "SHUN GATE" เว็บไซต์ให้ข้อมูลวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่น

สภาพภูมิอากาศแบบภูเขาทำให้ "8 ผลไม้เมืองไค" ออกผลงดงาม

เนื่องจากมีภูมิประเทศเป็นภูเขา จังหวัดนี้จึงเต็มไปด้วยจุดชมวิวสวยๆ ไม่ว่าจะเป็นหุบเขาโชเซนเคียว (Shosenkyo Gorge) ในเมืองโคฟุ (Kofu) หรือหุบเขานิชิซาวะ (Nishizawa) ในเมืองยามานาชิ ฯลฯ เพราะตั้งอยู่ห่างจากชายฝั่ง อุณหภูมิสภาพอากาศระหว่างวันของที่นี่จึงแตกต่างกันมาก และยังมีปริมาณน้ำฝนต่อปีน้อย นอกจากนี้ ช่วงเวลาที่มีแดดในแต่ละปีก็ยาวนานกว่าในจังหวัดอื่นๆ ตัวอย่างเช่นเมืองโฮคุโตะ (Hokuto) ได้รับการบันทึกว่าช่วงเวลาที่แดดออกมีถึง 2,500 ชั่วโมง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในประเทศมากกว่า 500 ชั่วโมงเลยทีเดียว และสภาวะทางธรรมชาติเหล่านี้ก็เหมาะแก่การปลูกผลไม้อย่างยิ่ง จังหวัดนี้จึงปลูกผลไม้ได้นานาชนิด อาทิเช่น เชอร์รี่ ลูกพลับจีน แอปเปิ้ล และลูกพลัม โดยผลไม้ที่ขึ้นชื่อเป็นพิเศษของจังหวัด ได้แก่ องุ่น พีช และลูกพลัม ซึ่งที่นี่ยังเป็นแหล่งเพาะปลูกที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นอีกด้วย (แหล่งข้อมูล: "แบบสำรวจสถิติพืชผลทางการเกษตร (แบบสำรวจสภาวะพืชผล - ไม้ผล), สถิติการผลิตและจัดส่งผลไม้ ปี 2020 (รายงานฉบับที่ 1)" โดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง)

ผู้อนุเคราะห์รูปภาพ: "SHUN GATE" เว็บไซต์ให้ข้อมูลวัฒนธรรมอาหารญี่ปุ่น

จังหวัดยามานาชิ หรือที่รู้จักกันในนามจังหวัดไคตั้งแต่ในยุคริทสึเรียว (Ritsuryo) ดูเหมือนจะวางรากฐานการเป็น "อาณาจักรผลไม้" มาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะบันทึกจากยุคเอโดะ (Edo) ก็มีการพูดถึง "8 ผลไม้เมืองไค" ซึ่งเป็นคำเรียกขานรวมๆ ของผลิตผลขึ้นชื่อประจำจังหวัดไค อันได้แก่ องุ่น ลูกแพร์ ลูกพลับจีน พีช เกาลัด แอปเปิ้ล ทับทิม และวอลนัท (หรือที่ทฤษฎีหนึ่งระบุว่าเป็นเมล็ดแปะก๊วย) แม้เราจะไม่ทราบว่าใครเป็นผู้คัดสรรผลไม้ 8 ชนิดนี้ แต่ผู้คนสมัยเอโดะก็รู้จักมักคุ้นกับผลไม้เมืองยามานาชิ ไม่ต่างไปจากยุคปัจจุบัน

สมัยก่อน การขนส่งไปยังเมืองเอโดะซึ่งเป็นศูนย์กลางการบริโภคขนาดใหญ่ จะใช้การขนส่งทางเรือในแม่น้ำฟูจิและถนนโคชูไคโด (Koshu Kaido) ถนนโคชูไคโดเป็นเส้นทางที่รัฐบาลเอโดะพัฒนาขึ้นเพื่อใช้ทางการทหาร โดยมีจุดเริ่มต้นจากเขตนิฮอนบาชิ (Nihonbashi) ในยุคเอโดะ และตัดผ่านเขตไนโตะ ชินจูกุ (Naito Shinjuku), เขตฮาชิโอจิ (Hachioji) และเขตโคฟุ (Kofu) จนไปรวมกับถนนนากาเซนโดะ (Nakasendo) ที่สถานีชิโมซุวะ-ชูกุ (Shimosuwa-shuku) รวมแล้วมีระยะทางประมาณ 208.5 กม. และมีโรงเตี๊ยมกว่า 45 แห่งตั้งเรียงรายตลอดทาง สินค้าที่จัดส่งไปยังเอโดะก็อาศัยม้าจากแต่ละโรงเตี๊ยมเหล่านี้

จังหวัดยามานาชิ มีหนึ่งในอาหารพื้นเมืองที่ใครก็ไม่อาจลืม นั่นคือหอยเป๋าฮื้อตุ๋น ซึ่งเป็นการนำหอยเป๋าฮื้อไปตุ๋นกับซอสถั่วเหลืองรสโอชะ ถ้าถามว่าในจังหวัดที่ไม่มีทะเลเช่นนี้ เมนูนี้เข้าไปแพร่หลายได้อย่างไร ว่ากันว่าเมนูนี้ถือกำเนิดขึ้นในปลายยุคเอโดะ เมื่อผู้ค้าส่งปลาจากท่าเรือนุมะซุ (Numazu Port) ส่งหอยเป๋าฮื้อจากหมู่เกาะอิซุ (Izu Islands) ไปยังจังหวัดไค โดยก่อนอื่นเขาได้นำหอยเป๋าฮื้อดิบไปหมักกับซอสถั่วเหลืองแล้วเก็บใส่ถังไว้ จากนั้นจึงพาขึ้นหลังม้าแล้วค่อยๆ ขนส่งไปตามเส้นทาง หลังสิ้นสุดการเดินทางอันยาวนาน หอยเป๋าฮื้อก็ชุ่มฉ่ำไปด้วยรสชาติและกลมกล่อมได้ที่ เหล่าซามูไรของโชกุนซึ่งประจำการอยู่ที่ปราสาทโคฟุ (Kofu Castle) ต่างยกย่องสรรเสริญเมนูนี้ จนชื่อเสียงเล่าลือไปถึงเมืองเอโดะและเป็นที่รู้จักแพร่หลายในที่สุด แม้กระทั่งปัจจุบัน เนื้อหอยลายตุ๋นก็ยังเป็นเมนูที่นิยมทานกันในวันขึ้นปีใหม่ วันแต่งงาน รวมถึงงานเฉลิมฉลองอื่นๆ และยังเป็นของขวัญที่มีคุณค่าสูงอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น เหล่าผู้ผลิตในท้องถิ่นยังมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้มีรสชาติไม่เหมือนใคร เรียกได้ว่าเป็นเมนูพิเศษในทุกยุคทุกสมัยอย่างแท้จริง

เครื่องโม่แป้งและโรงสีข้าวพลังน้ำทำให้การบริโภคอาหารที่ทำจากแป้งกลายเป็นวัฒนธรรมที่แพร่หลาย

"โฮโต" (Hoto) เป็นอาหารของจังหวัดยามานาชิที่โด่งดังไปทั่วประเทศ เมนูนี้ใช้เส้นที่มีลักษณะแบนกว้างทำจากข้าวสาลี ซึ่งจะนำไปเคี่ยวกับน้ำสต็อคมิโสะที่มีส่วนผสมเพิ่มรสชาติ เช่น ฟักทอง เผือก และแครอท ถ้ามองผ่านๆ เมนูนี้อาจจะดูเหมือนอุด้ง แต่สิ่งหนึ่งที่ต่างกันชัดเจนคือ โดยปกติแล้วการทำเส้นอุด้งจะมีการเติมเกลือในแป้งโด ก่อนจะวางทิ้งไว้ให้เข้าที่เพื่อให้ได้เส้นนุ่มหนึบหนับ แต่ในการทำโฮโตนั้น เมื่อได้เส้นแล้วเราจะใส่เส้นลงในหม้อเคี่ยวทันทีโดยไม่ต้องเติมเกลือ ขณะเคี่ยว ตัวเส้นจะค่อยๆ คลายตัวออกจากกัน และน้ำซอสก็จะเริ่มหนืดขึ้น เสน่ห์เฉพาะตัวของโฮโตจึงอยู่ที่การเคี่ยวเส้น ผัก และน้ำซอสจนเข้ากันกำลังดี ซึ่งหาไม่ได้จากอุด้ง

เมนูที่ทำจากแป้งดังเช่น "โฮโต" ล้วนมีบทบาทสำคัญในวัฒนธรรมอาหารของจังหวัดยามานาชิ ที่นี่มีอาหารทุกรูปแบบ ตั้งแต่เมนูทั่วไปอย่างอุด้งและโซบะ ไปจนถึงอาหารท้องถิ่น เช่น แพนเค้ก "อุซุยากิ" (Usuyaki), พาสต้าเส้นสั้น "มิมิ" และ "โยชิดะอุด้ง" เส้นเหนียวนุ่ม (Yoshida Udon) อาหารประเภทแป้งที่เข้ามาแทรกซึมในชีวิตประจำวันเหล่านี้ มีเบื้องหลังที่มาจากภูมิประเทศอันเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนี้นั่นเอง คุณเซจิ นากายามะ (Seiji Nakayama) ศาสตราจารย์อาคันตุกะประจำสถาบันวิจัยทรัพย์สินทางวัฒนธรรม (Teikyo University Research Institute of Cultural Properties) วิเคราะห์ปรากฏการณ์นี้ไว้ว่า "พื้นที่ประมาณ 80% ของจังหวัดยามานาชิถูกปกคลุมไปด้วยภูเขาและป่า ก่อนจะมีการสร้างระบบป้องกันน้ำท่วมในยุคเอโดะ การปลูกข้าวยังทำได้เฉพาะในพื้นที่ราบไม่กี่แห่ง พืชผลหลักของที่นี่จึงเป็นข้าวสาลี เมล็ดพืชเล็กๆ บักวีต และพืชผลอื่นๆ ที่ปลูกได้บนเนินเขาและตีนเขา"

ในยุคยาโยอิ (Yayoi Period) คนทั่วไปมักนำเมล็ดพืชไปบริโภคโดยที่ไม่ได้บดเป็นผง แต่เมื่อเข้ายุคคามากูระ (Kamakura Period) ซามูไรและพระนักบวชเริ่มนำเครื่องโม่แป้งมาใช้ ทำให้อาหารที่ทำจากแป้งค่อยๆ มีสัดส่วนการบริโภคมากขึ้น ต่อมาในยุคเอโดะ มีการสร้างโรงสีข้าวพลังน้ำขึ้นในหมู่บ้านต่างๆ ทำให้การผลิตแป้งทำได้อย่างต่อเนื่อง แป้งจึงกลายเป็นส่วนประกอบหลักในเมนูอาหารของประชาชนทั่วไป ศาสตราจารย์นากายามะกล่าวว่า "แหล่งพลังงานของโรงสีข้าวพลังน้ำเหล่านี้คือสายน้ำในลำธารที่ไหลลงจากที่ลาด ในยุคเมจิ (Meiji Period) มีกังหันน้ำที่ใช้งานจริงในจังหวัดนี้มากกว่า 3,000 กังหัน เราจึงกล่าวได้ว่าการพัฒนาเครื่องโม่แป้งและความแพร่หลายของโรงสีข้าวพลังน้ำ เป็นสิ่งที่ก่อร่างสร้างวัฒนธรรมการบริโภคอาหารที่ทำจากแป้ง"

ศาสตราจารย์นากายามะยังกล่าวอีกว่า "พื้นที่ฝั่งตะวันออกและตะวันตก ซึ่งอยู่ระหว่างเขาไดโบซัทสึ (Mount Daibosatsu) กับเทือกเขามิซากะ (Misaka Mountains) เป็นแหล่งที่มีประวัติศาสตร์การทำอาหารเป็นของตนเอง" เราจึงขอแนะนำอาหารท้องถิ่นจากพื้นที่คุนินากะทางฝั่งตะวันตก และพื้นที่กุนไนทางฝั่งตะวันออกสักเล็กน้อย

< พื้นที่คุนินากะ >
วัฒนธรรมอาหารเฉพาะตัวที่เฟื่องฟูในเขตศูนย์กลางสำคัญของรัฐบาลเอโดะ

พื้นที่คุนินากะ (Kuninaka) แบ่งย่อยได้เป็นเคียวชู, เคียวโฮคุ, เคียวไซ, เกียวโต และเคียวนัน

เมืองโคฟุ (Kofu City) ซึ่งเป็นศูนย์กลางของเขตเคียวชู (Kyochu) เป็นที่รู้จักในนามบ้านเกิดของชินเง็น ทาเคดะ (Shingen Takeda) หรือไดเมียวผู้โด่งดังในยุครณรัฐ (Warring States Period) เมืองนี้จึงเต็มไปด้วยสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลผู้นี้ เราจะเห็นคำว่า "ชินเง็น" ปรากฏอยู่ทุกที่ในเมือง รวมไปถึงรูปปั้นของเขาที่หน้าสถานีโคฟุ และศาลเจ้าทาเคดะที่ยกย่องให้เขาเป็นเทพประจำศาลเจ้าเลยทีเดียว ในช่วงยุคเอโดะ เมืองโคฟุถือเป็นศูนย์กลางที่สำคัญแห่งหนึ่ง ชุมชนรอบปราสาทของที่นี่กลายเป็นที่พักเหล่าข้าราชบริพารของโชกุน อีกทั้งภาษา ศิลปะการแสดง และความบันเทิงในยุคเอโดะ ต่างก็หลั่งไหลเข้ามาในเมืองผ่านเส้นทางโคชูไคโด สถานีโคฟุซึ่งเป็นจุดเชื่อมระหว่างสายชูโอ (Chuo) กับสายมิโนบุ (Minobu) เรียกได้ว่าเป็นประตูสู่จังหวัดนี้ บริเวณรอบสถานีจึงเรียงรายไปด้วยร้านอาหารท้องถิ่น เช่น ร้านโฮโตและโทริโมทซึนิ (ไส้ไก่ตุ๋น) ทำให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสรสชาติท้องถิ่นในบรรยากาศแบบเป็นกันเอง

ส่วนเขตเคียวโฮคุ (Kyohoku) ประกอบไปด้วยเมืองนิราซากิ (Nirasaki) และเมืองโฮคุโตะ (Hokuto) โดยโฮคุโตะเป็นเมืองที่โอบล้อมไปด้วยภูเขา เช่น เทือกเขายัตซึกาทาเกะทางตอนเหนือและเทือกเขาเจแปนแอลป์ตอนใต้ ไปจนถึงเขาไคโคมะ (Mount Kaikoma) ทางตะวันตกเฉียงใต้ เขาคายะ (Mount Kaya) ทางตะวันออก และเขามิสึกาคิ (Mount Mizugaki) ทางตะวันออกเฉียงเหนือ ในเมืองนี้มีสถานที่ถึง 3 แห่งที่ได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน "100 สุดยอดบ่อน้ำพุ" และหนึ่งใน "100 สุดยอดบ่อน้ำพุยุคเฮเซ" โดยหนึ่งในนั้นคือ "กลุ่มน้ำพุที่ราบสูงบริเวณตีนเขาทิศใต้ของเทือกเขายัตซึกาทาเกะ" ซึ่งมีบ่อน้ำพุมากกว่า 50 บ่อ ตั้งกระจายอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลราว 1,000 เมตร ในวันขึ้นปีใหม่ ช่วงเทศกาลบง และเทศกาลของหมู่บ้าน จะมีธรรมเนียมการกิน "อะซูกิ โฮโต" (Azuki Hoto) ซึ่งได้จากการนำถั่วอะซูกิไปต้มและเติมความหวาน ก่อนจะใส่เส้นโฮโตลงไป ในยุคที่อาหารยังไม่อุดมสมบูรณ์เท่าในปัจจุบัน เมนูโฮโตแบบหวานๆ ถือเป็นของขวัญล้ำค่าสำหรับทุกคนเลยก็ว่าได้ ในเดือนกรกฎาคมของทุกปี ศาลเจ้ามิวะ (Miwa Shrine) ประจำเมืองนี้จะจัดเทศกาลโฮโต ซึ่งมีเมนู "อะซูกิ โฮโต" ให้ได้อิ่มอร่อยกันด้วย

เมืองมินามิ-แอลป์ (Minami-Alps City) เป็นศูนย์กลางของเขตเคียวไซ (Kyosai) ภายในเมืองมีเทือกเขาเจแปนแอลป์ตอนใต้ และเนินตะกอนรูปพัดของแม่น้ำมิไดกาวะ (Midaigawa River) ที่ไหลผ่านตีนเทือกเขา ตั้งแต่ยุคไทโช (Taisho Era) ถึงต้นยุคโชวะ (Showa Era) เป็นช่วงที่การเลี้ยงไหมเฟื่องฟูมากที่สุดในแถบนี้ ทั้งยังมีไร่มัลเบอร์รี่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่เนินตะกอนรูปพัด เมื่อถึงตอนปลายยุคโชวะ ไร่มัลเบอร์รี่เกือบทั้งหมดจึงถูกแปลงเป็นสวนผลไม้ และนับแต่นั้นเป็นต้นมา พื้นที่นี้ก็เป็นที่รู้จักในนามศูนย์กลางการปลูกลูกพลัม พีช และเชอร์รี่ เมนูจากแป้งข้าวสาลีที่เก็บเกี่ยวได้ในทุ่งนา กลายเป็นเมนูที่ชาวไร่นิยมทำกินช่วงพักจากงานไร่ หนึ่งในเมนูนี้ก็คือแพนเค้กอุซุยากิที่เราพูดไปก่อนหน้านี้ เพราะเป็นเมนูที่ทำเร็วและทำง่าย ในปัจจุบันก็ยังมีการกินแพนเค้กอุซุยากิเป็นขนมหรือของว่างเบาๆ ในหลายพื้นที่อีกด้วย

ที่แม่น้ำคามานาชิ (Kamanashi) มี "ชินเง็น-ซัทสึมิ" (Shingen-zutsumi) หรือคันกั้นน้ำที่สร้างขึ้นโดยชินเง็น ทาเคดะ และยังมีให้เห็นจวบจนปัจจุบัน แม่น้ำสายนี้จะไหลไปรวมกับแม่น้ำฟุเอฟุกิ (Fuefuki) ทางทิศใต้ของลุ่มน้ำโคฟุ (Kofu Basin) จนเกิดเป็นแม่น้ำฟูจิ ซึ่งเป็นหนึ่งใน "แม่น้ำ 3 สายที่ไหลเชี่ยวที่สุดในญี่ปุ่น" เขตเคียวนัน (Kyonan) ก็ประกอบไปด้วยชุมชนต่างๆ เช่น ฟูจิกาวะ, อิชิกะวะ-มิซาโตะ, ฮายากาวะ, นันบุ และชุมชนอื่นๆ ที่กระจายอยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำแห่งนี้นั่นเอง ในยุคเอโดะ พื้นที่นี้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับเขตสุรุกะอย่างคึกคักผ่านเส้นทางซุนชู โอคัง (Sunshu Okan) และการขนส่งทางเรือในแม่น้ำฟูจิ ศาสตราจารย์นากายามะเล่าว่า "ภาษีข้าวประจำปีจะถูกนำส่งไปยังเมืองเอโดะผ่านเขตเคียวนัน ส่วนเกลือจะถูกส่งมาจากซุนชู นอกจากนี้ ยังมีการขนส่งทูน่าและปลาสดไปยังเอโดะผ่านเส้นทางนากามิจิ โอคัง (Nakamichi Okan) ที่ตัดผ่านตีนเขาฝั่งตะวันตกของภูเขาไฟฟูจิ" ปัจจุบันจุดที่เคยเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำตรงริมฝั่งแม่น้ำคาจิคาซาวะเดิม (Kajikazawa) ก็ยังมีวัฒนธรรมการกินฉลามและโลมาให้เห็น ส่วนที่มิโนบุ (Minobu) ซึ่งเป็นเขตชุมชนรอบวัดคุออนจิ (Kuonji) ก็มีวัฒนธรรมการกิน "นามะยูบะ" (ฟองเต้าหู้สด) อีกด้วย

ผู้อนุเคราะห์รูปภาพ: จังหวัดยามานาชิ

เขตเกียวโต (Kyoto) มีการเกษตรเฟื่องฟูมาตั้งแต่สมัยโบราณ โดยทฤษฎีหนึ่งกล่าวว่า ที่นี่มีการปลูกองุ่นมานับตั้งแต่ยุคนาระ (Nara Period) เลยทีเดียว พื้นที่เขตนี้โดยเฉพาะที่ย่านมัทสึซาโตะ (Matsuzato) เมืองโคชู มีของขึ้นชื่อเป็นลูกพลับ "โคโรกาคิ" (Korogaki) หรือลูกพลับแห้งนั่นเอง ลูกพลับแห้งเหล่านี้ทำมาจากสายพันธุ์ "โคชู เฮียคุเมะ" (Koshu Hyakume) ที่มีน้ำหนักสูงสุดถึง 500 กรัม โดยว่ากันว่าชินเง็น ทาเคดะ เป็นผู้แนะนำให้ริเริ่มปลูกลูกพลับสายพันธุ์นี้ การปลูกจะทำกันในเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม และมีการรมควันลูกพลับให้หดตัว ก่อนนำไปตากแห้งในที่อากาศถ่ายเทประมาณ 1 เดือน แล้วจึงนำไปตากบนชั้น พร้อมกับปรับแต่งให้ได้รูปทรงที่ต้องการ "ม่านลูกพลับ" ที่ห้อยลงมาจากชายคาบ้านไร่ เป็นภาพเมืองเกียวโตช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมมาจวบจนปัจจุบัน

< พื้นที่กุนไน >
เมนูมันฝรั่งที่เคยใช้ประทังในยุคข้าวยากหมากแพง กลายมาเป็นเมนูประจำบ้านในยุคปัจจุบัน

พื้นที่กุนไน (Gunnai) ประกอบด้วยเมืองฟูจิโยชิดะ (Fujiyoshida), เมืองทสึรุ (Tsuru), เมืองโอสึกิ (Otsuki) และเมืองอูเอโนฮาระ (Uenohara) รวมถึงเขตมินามิสึรุ (Minamitsuru) และเขตคิตะสึรุ (Kitatsuru) ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของทะเลสาบทั้งห้ารอบภูเขาไฟฟูจิ (Fuji Five Lakes) อาทิ ทะเลสาบยามานากะ (Lake Yamanaka) และทะเลสาบคาวากุจิ (Lake Kawaguchiko) เมื่อข้ามภูเขาไฟฟูจิไปตรงเขตแดนทางตอนใต้ของจังหวัดนี้ก็จะเป็นจังหวัดชิซึโอกะ (Shizuoka)

ในยุคเอโดะ การเลี้ยงไหมและทอผ้าเป็นแหล่งรายได้ที่ช่วยค้ำจุนพื้นที่แถบนี้ เพราะที่นี่ขาดแคลนพื้นที่ทุ่งนาจึงทำให้ปลูกข้าวได้ยาก ตามริมฝั่งหมู่บ้านจึงมีต้นมัลเบอร์รี่ปลูกเรียงรายไว้สำหรับเลี้ยงตัวไหม ผ้า "กุนไน-โอริ" ที่ใช้เส้นด้ายจากตัวไหมเหล่านี้ ถูกส่งผ่านเส้นทางโคชูไคโดเพื่อนำไปขายให้ชาวเมืองเอโดะทั่วไป ผ้าไหมนี้ได้รับความนิยมมากจนพ่อค้าเมืองเอโดะต้องสร้าง "ที่พักผู้ซื้อ" ในหมู่บ้านไว้เป็นจุดรับซื้อผ้าไหมเลยทีเดียว นอกจากนี้ ซากปรักหักพังของด่านตรวจคนเข้าเมืองซูวะ-บันโช (Suwa-bansho) ในเขตโอโตเมะ-ซากะ เมืองอูเอโนฮาระ ก็สะท้อนให้เห็นบรรยากาศสมัยโบราณ ด่านแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับเขตแดนจังหวัดคานากาวะ (Kanagawa) เพื่อใช้ควบคุมการขนส่งสินค้าและผู้สัญจรบนเส้นทางโคชูไคโด ในละแวกนี้จึงมีชุมชนริมด่านถึง 4 ชุมชน และยังมีโรงเตี๊ยมและโรงน้ำชาที่อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยผู้เดินทางสัญจร

แต่ทว่าในสมัยนั้น มีภาวะอดอยากเกิดขึ้นทั่วประเทศอยู่เป็นเนืองนิจ ไม่เว้นแม้แต่ในพื้นที่นี้ เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดภาวะอดอยาก ชาวบ้านก็จะกิน "เซดะ-โนะ-ทามาจิ" (Seida-no-tamaji) เพื่อประทังความหิวโหย โดยเมนูนี้ทำจากมันฝรั่งลูกเล็กๆ ที่นำไปผัดและต้มในซอสรสมิโสะ คำว่า "เซดะ" มาจากชื่อของนาคาอิ เซดะยุ (Nakai Seidayu) ซึ่งเป็นเจ้าเมืองท้องถิ่นที่ริเริ่มการปลูกมันฝรั่งในแถบนี้ ส่วนคำว่า "ทามาจิ" นั้น คุณเคอิโกะ ฟูจิซาวะ (Keiko Fujisawa) ประธานสำนักงานประสานงานผู้ส่งเสริมการพัฒนาอาหารจังหวัดยามานาชิกล่าวว่า ทามาจิแปลว่ามันฝรั่งลูกเล็กซึ่ง "สะท้อนให้เห็นความถ่อมตนของผู้คนในอดีตที่มุ่งมั่นตั้งใจว่าจะใช้ทุกสิ่งอย่างคุ้มค่า แม้กระทั่งมันฝรั่งลูกเล็กที่สุดก็ตาม" คุณเคอิโกะ จัดชั้นเรียนและกิจกรรมเกี่ยวกับการทำอาหาร เพื่อสืบสานวัฒนธรรมอาหารและเมนูพื้นบ้านที่คงอยู่มาอย่างยาวนานในพื้นที่แถบนี้

คุณเคอิโกะ เล่าถึงเมนูดั้งเดิมอีกอย่างหนึ่งของพื้นที่กุนไน นั่นก็คือสตูว์มันฝรั่งกับฮิจิกิ (สาหร่ายชนิดหนึ่งที่ได้จากทะเล) "เมนูนี้เป็นอาหารเทศกาลที่จะทำทานกันในวันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นฤดูกาลปีนเขาที่ภูเขาไฟฟูจิ ในสมัยก่อน ชาวบ้านจะใช้วัตถุดิบจากทั้งทะเลและภูเขาเพื่อนำไปขอพรให้การปีนเขาปราศจากภัยอันตราย แต่ปัจจุบันเมนูนี้ได้กลายเป็นอาหารที่ทานกันทั่วไป จึงไม่ต้องแปลกใจถ้าเราจะเจอเมนูนี้ในแผนกเครื่องเคียงตามซูเปอร์มาเก็ต

มีอาหารหลายอย่างในจังหวัดยามานาชิที่เคยเป็นอาหารประจำเทศกาล ก่อนจะกลายเป็นเมนูประจำบ้านทั่วไป เช่น ข้าวหุงผสมถั่วอะซูกิรสหวาน และติ่มซำโอชากะ-โคโกริ (Oshaka-kogori)" เคล็ดลับการทำสตูว์มันฝรั่งกับสาหร่ายฮิจิกิ คืออย่าให้มันฝรั่งบี้แบน และควรกินหลังทำเสร็จใหม่ๆ เพื่อให้ได้รสชาติอร่อยเด็ดอย่าบอกใคร รสชาติที่เรียบง่ายแต่เข้มข้นเต็มปากเต็มคำ เปรียบได้ดั่งทิวทัศน์อันงดงามของภูเขาและหมู่บ้านในพื้นที่กุนไน

อูตางาวะ ฮิโรชิเงะ (Utagawa Hiroshige) เป็นศิลปินภาพพิมพ์แกะไม้ "อุคิโยเอะ" (Ukiyoe) ที่โด่งดังจากผลงานชุด "53 สถานีบนเส้นทางโตไกโด" (The Fifty-Three Stations of the Tokaido) ในปี 1841 เขาได้เดินทางมายังจังหวัดไคเพื่อสร้างผลงานชุดใหม่ และได้บันทึกภาพเหตุการณ์ระหว่างการเดินทางสู่เมืองโคฟุและระหว่างเข้าพักที่นี่ไว้ใน "บันทึกโคชู" (Koshu Diary) พร้อมกับภาพสเก็ตช์ต่างๆ โดยบันทึกไว้โดยละเอียดว่าตนกินถึงวันละ 4-5 มื้อ และแต่ละมื้อกินอะไรบ้าง อาหารที่ปรากฏในบันทึกก็มีความหลากหลาย ทั้งอุด้ง, ซูชิปลาอายุ (Sweetfish), หมั่นโถวมันจู, เต้าหู้, ติ่มซำ ฯลฯ... เขาตระเวนลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่มรอบปราสาทโคฟุวันแล้ววันเล่า เราจึงได้สนุกไปกับการจินตนาการตามว่า อาหารท้องถิ่นที่ฮิโรชิเงะติดอกติดใจ อาจได้ส่งต่อมาถึงในยุคปัจจุบัน

จังหวัดยามานาชิ อาหารพื้นเมืองหลัก